การเสด็จประะพาสต้นเมืองอุทัยธานี ๑๐ สิงหาคม ๒๔๔๙ (พระราชนิพนธ์เสด็จประพาสต้น ในรัชกาลที่ ๕)
วันที่ ๑๐ ออกเรือ ๒ โมงเช้า มาถึงหน้าที่ว่าการเมืองมโนรมย์ ๔ โมงเศษ เขาเอาแพเล็ก มาจอดเรียงกัน ๔ หลัง แล้วทำนอกชานจนดูเป็นแพใหญ่ดี ๕ โมงเช้า ลงเรือมาไปเข้าคลองสะแกกรังชั่วโมงเศษถึงเขายืนแพวัดไปจอดที่ๆ เคยจอดแต่ก่อน ทำกับข้าวกินข้าวแล้ว บ่าย ๒ โมงเศษ ลงเรือไปเหนือน้ำ หยุดถ่ายรูปแล้วขึ้นตลาด คราวนี้ถนนแห้งเดินดูได้ทั่วถึง ดูครึกครื้นกว่าตลาดกรุงเก่ามาก กลับมาลงเรือแวะที่หน้าวัดโบสถ์ พบพระครูจันครู่หนึ่ง แล้วกลับลงมามโนรมย์ ขึ้นเดินบนบก ครึกครื้นกว่าที่คาดเป็นอันมาก ที่ติดได้เพราะเหตุด้วยหน้าแล้ง พวกสแกกรังต้องเดินมาซื้อในที่นี้เพราะปากคลองปิดเข้าได้แต่เรือพายม้า ๒ แจว
รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองฝ่ายเหนือ ปี ๒๔๔๔
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองฝ่ายเหนือเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๔ นั้น พระองค์ได้เสด็จประพาสเมืองอุไทยธานี ซึ่งในวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๔ (ร.ศ.๑๒๐) นั้นพระยาประธานนคโรไทยจางวางกำกับเมืองอุไทยธานี ได้ออกไปรอรับเสด็จที่พลับพลาท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ เมืองไชยนาท ซึ่งมีจดหมายเหตุปรากฎความดังนี้
“เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ร.ศ.๑๒๐ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งกลไฟองครักษ์ล่องไปเข้าคลองโกรกกรากที่ปากคลองนั้นตื้น เป็นคันช่องข้างเหนือเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่ช่องใต้ ถัดปากคลองเข้าไปหน่อยหนึ่ง มีบ้านเรือนและแพอยู่บ้าง เป็นที่ลุ่มจนถึงพรมแดนเมืองอุไทยธานี ต่อเข้าไปจนเป็นที่ดอน ฟากข้างขวามือเป็นป่ายางโดยมาก ๒ ชั่วโมงจึงถึงเมืองอุไทยธานี ซึ่งตั้งพลับพลาที่ท้ายเมืองใกล้ที่ว่าการซึ่งปลูกใหม่ได้พระราชทานพระแสงราชศาสตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเสมา แก่ข้าราชการเมืองอุไทยธานี
เมื่อเสด็จแล้วก็ประทับเสวยกลางวันในที่นั่น เวลาบ่ายเสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งแจว มีเรือไฟเล็กลากไปตามลำคลอง ถนนมีแต่ร้อนนัก จึงไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านเรือนตอนข้างบก เสด็จพระราชดำเนินขึ้นที่ท่าตลาดใกล้วัดขวิด ตลาดนั้นมีผู้คนหนาแน่น แต่ถนนยังเป็นทรายอ่อนและรางน้ำมักจะเต็มไม่เป็นถนน ที่ได้ทำเป็นแต่ทางเดิน ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านเรือนหนาแน่น ราษฎรเป็นคนบริบูรณ์ โดยมากความบริบูรณ์ของเมืองนี้อาศัยการค้าข้าวอย่างเดียว เพราะเหตุที่แผนดินนอกคลองนั้นออกไปเป็นพื้นที่ราบมากมีลำห้วยซึ่งมีน้ำแต่ฤดูฝน
เมื่อพระราชดำเนินกลับจากตลาดแล้ว เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรวัดอุโบสถรามอยู่ตรงข้ามพระครุอุไทยธรรมนิเทส (จัน) ทำแพช่อฟ้าจอดไว้ถวายที่หน้าวัดและเชิญพระพุทธรูปหล่อด้วยเงินสององค์ องค์หนึ่งหนัก ๗๐ ชั่ง องค์หนึ่งหนัก ๕๐ ชั่ง มาตั้งให้ทอดพระเนตรและขอพระราชทานถวายด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า เป็นพระซึ่งราษฎร ได้มีใจศรัทธาหล่อขึ้น ควรจะคงไว้ให้เขาได้สักการบูชา จึงไม่ทรงรับ และพระ ๒ องค์นั้นองค์ที่หนัก ๕๐ ชั่ง หุ้มผ้ามีกลีบจีวรหล่อด้วยเงินไม่ได้ผสม อีกองค์หนึ่งผสมทองแดง เจ้าของว่าเพื่อให้เงาลึกเป็นพระอย่างแม่ลูกอิน
แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกจากจังหวัด ไปตามลำคลองสะแกกรัง แล้วลัดออกทางคลองสำเหล้า มาออกทางคลองขุนสุนักข์ แล้วออกคลองปากบาง คลองทั้ง ๒ นี้เป็นคลองแคบ แต่คลองหลังน้ำเชี่ยวจัดต้องขึ้นทรงพระราชดำเนินเลียบคลองไปลงเรือพระที่นั้งที่แม่น้ำ ออกที่เกาะเทโพ
“เสด็จพระราชดำเนินกลับถึงพลับพลาบ่าย ๔ โมงเศษ ที่พลับพลาร้อนจัด ต้องประทับอยู่บนบก เวลาค่ำฝนตกหนักแล้วตกมากบ้างน้อยบ้าง ไปตลอดคืนยันรุ่ง ยุงชุม”
แพโบสถ์นำ้ สร้างขึ้นในคราวรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า พ.ศ.๒๔๔๔ และใช้ประกอบพิธีกรรมชาวพุทธทีมีวิถีชีวิตเป็นชาวแพ
วัดอุโปสถาราม หรือวัดอุโบสถาราม หรือชาวบ้านเรียกว่า วัดโบสถ์ เดิมชื่อวัดโบสถ์มโนรมย์ ตั้งอยู่ริมแม่นำ้สะแกกรัง ตรงข้ามกับชุมชนทั้งที่มีบ้านเรือนอยู่บนฝั่งและแพริมนำ้และตลาด ซึ่งปัจจุบันคือตลาดเทศบาลเมืองอุทัยธานี
วัดอุโปสถารามสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ.๒๓๒๔ วางแผนผังเป็นฐานไพทียกสูง ก่ออิฐถือปูนบนฐานตั้งพระอุโบสถขนานเสมอกับพระวิหาร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
นอกจากนี้ยังมีมณฑปแปดเหลี่ยมสร้างต่อฐานไพทีด้านริมนำ้ออกไป ใช้เป็นที่ไว้ศพและอัฐิพระครูสุนทรมุนี(จัน)อดีตเจ้าคณะจังหวัด
ขอบคุณข้อมูลจากนิทัศการ “๑๑๑ ปีเสด็จประพาสต้น เมืองอุไทยธานี”